หลายท่านคงได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเคลือบแก้วกันมาบ้าง
ทั้งข้อดีข้อเสียต่างๆกันไป วันนี้ทิพย์ ออโต้จะมาไขข้อสงสัยต่างๆ
เกี่ยวกับการเคลือบแก้วให้กระจ่าง
เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับท่านที่กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเคลือบแก้วดีหรือไม่
1. เคลือบแก้วคืออะไร
เคลือบแก้วเป็น นวัตกรรมการดูแลรถ
โดยเทคนิคการเคลือบแก้วจะเน้นประสิทธิภาพการดูแลปกป้อง สีรถ
และพื้นผิวของรถยนต์ในระยะยาว ปกป้องได้มากกว่ามากกว่าการล้างรถ
และการดูแลรักษาสีรถทั่วไป
โดยสารเคลือบแก้วนั้นจะทำให้สภาพสีรถให้มีความสวยงาม แวววาว
ทำให้รถดูใหม่อยู่เสมอ อีกทั้งยังป้องกันริ้วรอย เศษฝุ่นเศษหิน
หรือคราบต่างๆที่ส่งผลต่อผิวรถได้อีกด้วย
2. สิ่งที่ผสมอยู่ในสารเคลือบแก้ว
ในสารเคลือบแก้วจะมีสารสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ คือ
ซิลิกอนไดออกไซด์ หรือสารซิลิกา (Silica /SiO2)
เป็นองค์ประกอบหลัก สารตัวนี้มีคุณสมบัติเด่น คือ ให้ค่าความแข็งแกร่ง
และความเงาใส จึงเป็นที่มาของความแวววาวนั่นเอง
3. เคลือบแก้วคุณภาพวัดความแข็งหรือความหนา ?
คุณภาพของการเคลือบแก้ว มีการวัดค่าหลายแบบ หลักๆแล้วคือ
ระยะเวลาความคงทนยาวนานของเคลือบแก้วบนผิวสีรถ
ซึ่งความคงทนนั้นมาจากค่าความแข็งของสารเคลือบแก้ว
หรือที่เราเคยได้ยินว่าเคลือบแก้ว ระดับ 8H , 9H
นั่นคือค่าความแข็งที่สามารถวัดได้
ซึ่งมีผลอย่างมากต่อเรื่องความทนทาน
เพราะมาจากค่าความแข็งแกร่งของซิลิกาที่อยู่ในสารเคลือบแก้ว
4. การเคลือบแว็กซ์ (Wax) และการเคลือบแก้ว (Glass Coating)
ต่างกันอย่างไร
เคลือบแว็กซ์ (Wax) เป็นการเคลือบสีรถระยะสั้น มี 2 ประเภท คือ
แว็กซ์แบบครีม และแว็กซ์แบบน้ำโดยแว็กซ์แบบครีมจะช่วยเพิ่มความเงางาม
ให้สีรถยนต์เป็นหลัก แต่มีจะมีอายุการใช้งานสั้น ทนความร้อนได้ต่ำ
โดยสามารถใช้งานได้เพียง 3-4 วัน เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อน ส่วนแว็กซ์แบบน้ำ
จะอยู่ได้นานกว่าและทนความร้อนได้มากกว่าการใช้แว็กซ์แบบครีมแต่ให้
ความเงางามน้อยกว่า โดยจะมีอายุการใช้งานประมาณ 3-4
สัปดาห์เท่านั้น
เคลือบแก้ว (Glass Coating)
การเคลือบแก้วให้ประโยชน์ทางด้านความเงางามของตัวรถและการ
ปกป้อง เนื่องจากส่วนผสมหลักคือสารซิลิกา ที่มีคุณสมบัติคุณสมบัติ
ในการให้ความเงางามและความแข็งเหมือนแผ่นกระจก (Quartz)
จึงสามารถลดปัญหาคราบเปื้อนต่างๆ ทั้งยางมะตอย
มูลนก คราบหยดน้ำ ฝุ่นที่เกาะตัวรถและทำลายผิวรถ
ช่วยให้สีผิวรถไม่ซีดจางจากรังสี UV ลดการเกิดรอยขนแมว โดยสามารถทนความร้อนได้สูง
ซึ่งสูงกว่าการเคลือบประเภทอื่นทั้งหมดและยังไม่สะสมความร้อนบนผิวสีรถยนต์
มีระยะการใช้งานที่ยาวนานประมาณ 1-5 ปี (ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของน้ำยาแต่ละแบรนด์)
จากความแตกต่างข้างต้นเห็นได้ชัดว่า การเคลือบแก้วมีผลลัพธ์และประสิทธิภาพต่างจากเคลือบแว็กซ์โดยสิ้นเชิง
การเคลือบแว็กซ์เป็นการเคลือบชั้นผิวรถอย่างผิวเผินในระยะเวลาช่วงสั้นๆ ไม่สามารถปกป้องรถคันสวยของคุณจากริ้วรอยต่างๆ ได้จริงแม้การเคลือบแว็กซ์จะราคาถูกกว่า
แต่สำหรับความคุ้มค่าในระยะยาวด้านประโยชน์ต้องยกให้กับการเคลือบแก้ว
เมื่อรู้จักและทราบข้อดีของการเคลือบแก้วแล้ว
มาถึงประเด็นที่ควรพิจารณาการเลือกร้านเคลือบแก้วกันค่ะ
1. ศูนย์บริการเคลือบแก้ว สำคัญสำคัญที่สุด
ศูนย์บริการหรือร้านเคลือบแก้ว ต้องมีความน่าเชื่อถือ
มีความพร้อมทั้งเรื่องสถานที่ ช่างเคลือบที่มีประสบการณ์
และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ต้องมีมาตรฐาน
เพื่อให้คุณภาพของงานเคลือบแก้วออกมาดีที่สุด
โดยทั่วไปแล้วในราคาเท่ากันคุณสมบัติของน้ำยาจะอยู่ที่ระดับใกล้เคียงกั
น แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือคุณภาพงานและความใส่ใจของช่างเคลือบ
ที่สำคัญคือการให้บริการหลังการขายเพราะเคลือบแก้วมักจะขายเป็น
แพคเกจ 1-5 ปี ควรเลือกร้านให้ดี เพราะต้องดูแลกันไปอีกยาว
2. ราคาเคลือบแก้วที่คุ้มค่า
ปัจจุบันราคาเคลือบแก้วมีความหลากหลายตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่น
เราไม่สามารถสามารถชี้วัดคุณภาพของงานเคลือบแก้วได้จากราคาเพียงอ
ย่างเดียว ราคาที่ถูกที่สุด ไม่ได้แปลว่าจะได้เคลือบแก้วที่ดีที่สุด
หรือราคาที่แพงหูฉี่ก็ไม่ได้แปลว่า จะได้งานเคลือบแก้วที่คุ้มค่า
การเลือกเคลือบแก้วที่คุ้มค่าต้องได้ราคาและคุณภาพทัดเทียมกัน
โดยพิจารณาทั้งคุณสมบัติของน้ำยา
ความน่าเชื่อถือของศูนย์บริการหรือร้านเคลือบ ฝีมือช่าง
ตลอดจนบริการหลังการขาย ที่สำคัญต้องเป็นราคาที่คุณจ่ายได้
จ่ายแล้วรู้สึกพอใจกับผลงานที่ได้รับ ไม่ใช่เคลือบแก้วในราคาแสนถูก
แต่เคลือบแล้วอยู่ได้ไม่นาน
หรือถ้าจะเคลือบแก้วแพงๆแต่ได้ของไม่มีที่มาที่ไป ได้บริการไม่ดีได้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง
コメント